ปรัชญาและความสำคัญ
วัตถุประสงค์ของหลักสูตร
เมื่อสำเร็จการศึกษาจากหลักสูตรนี้แล้ว นักศึกษาจะเป็นผู้มีคุณลักษณะและความรู้ ความสามารถ ดังนี้
-
ประวัติความเป็นมา
หลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม เป็นหลักสูตรปรับปรุงมาจากหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรม ปี พ.ศ. 2551 โดยมีวัตถุประสงค์ที่สำคัญในการปรับปรุงหลักสูตร คือ เพื่อให้สอดคล้องกับประกาศกระทรวงศึกษาธิการ เรื่อง มาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม พ.ศ. 2553 ทั้งนี้ได้พัฒนาให้สอดคล้องกับกระแสโลกาภิวัตน์ในยุคปัจจุบัน และการเตรียมเข้าสู่ประชาคมอาเซียน เพื่อประโยชน์ในการรักษาคุณภาพและมาตรฐานการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาการท่องเที่ยวและการโรงแรม ของสถาบันอุดมศึกษา ให้มีมาตรฐานเทียบเคียงกันได้ทั้งในระดับชาติและระดับสากล
สัมภาษณ์
อาจารย์ราเมศร์ พรหมชาติ
อดีตสู่ปัจจุบัน การท่องเที่ยวและโรงแรม
นรินทร์ เจตธำรง :1 สิงหาคม 2553
เคยอยากรู้ไหมครับว่าสาขาของเราเริ่มเปิดรับนักศึกษาตั้งแต่เมื่อไหร่ เคยสงสัยไหมครับว่าหลักสูตรของเราเป็นศิลปศาสตร์บันฑิต แต่ทำไมถึงได้สังกัดอยู่คณะวิทยาการจัดการ
เคยไปใช้บริการโรงแรมพนมพิมานแล้วอยากรู้บ้างไหมครับว่า ขึ้นชื่อว่าศูนย์ฝึกประสบการณ์วิชาชีพการโรงแรม แล้วทำไมสาขาวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรมของเราถึงดูจะไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับที่นี่ซักเท่าไหร่
เคยอยากรู้ไหมครับว่า Volcano Tour ก่อตั้งมาทำไม ไม่เห็นเคยได้ใช้จัดทัวร์อะไรเลย
วันดีคืนดี เคยถามตัวเองไหมครับว่าอาจารย์ย้ำนักย้ำหนาให้พัฒนาภาษาที่สาม สี่ ห้า ไม่ว่าจะเป็นจีน ญี่ปุ่น เขมร แล้วทำไมรายวิชาภาษาเหล่านี้ถึงถูกตัดออกไปจากหลักสูตรปี 2550
คำตอบต่อคำถามเหล่านี้ ต้องถามผู้ชายคนนี้ ผู้ที่อยู่กับสาขาของเราตั้งแต่จุดเริ่มต้น เห็นการเปลี่ยนแปลงมากมายในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา เป็นแรงผลักดันในการพัฒนาสาขาตลอดมา อาจารย์ราเมศร์ พรหมชาติ
อ.นรินทร์: สาขาวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรมของเรามีที่มาอย่างไรครับ
อ.ราเมศร์:แรกเริ่มเลยชื่อสาขาของเราคือ “ธุรกิจท่องเที่ยว” ครับ เปิดรับนักศึกษารุ่นแรกเมื่อปี 36โดยเป็นความคิดริเริ่มของ ผศ.ดร.ปราโมทย์ เบญจกาญจน์ อธิการบดีสมัยนั้น เป็นหลักสูตร 2ปี อนุปริญญา ผมก็เข้ามาเป็นรุ่นแรกเลยนั่นแหละครับ ตอนนั้นมีนักศึกษารู้สึกจะ 47 คน เรียนไปได้ปีกว่าพวกเราก็ปรึกษากันว่าแล้วจะไปต่อที่ไหนให้จบปริญญาตรี มันก็ไม่มีที่ไหนเปิด ก็โชคดีที่ท่านอธิการปราโมทย์ ท่านใส่ใจ รับฟังปัญหาเรามาโดยตลอด พอปี 48 ก็เลยมีการปรับหลักสูตรเป็นศิลปศาตร์บัณทิต “อุตสาหกรรมท่องเที่ยว” และล่าสุดปี 50 ก็เป็น “อุตสาหกรรมท่องเที่ยวและโรงแรม”
ในช่วงแรกเรามีปัญหาเยอะมาก อย่างเรื่องหลักสูตร คือท่องเที่ยวมันเป็นศาสตร์ประยุกต์ จะศิลป์ทั้งหมดก็ไม่ใช่ จะวิทย์ก็ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ เราก็เลยอยู่กับคณะวิทยาการจัดการ แต่โดยเนื้อหาที่รายวิชาส่วนใหญ่เราจะเป็นของมนุษย์ศาสตร์ อาจารย์คณะวิทยาการจัดการไม่มีใครสอนได้อยู่แล้ว เราก็เลยเรียนกับคณะมนุษย์ฯ ซึ่งอาจารย์เขาก็มีภาระรับผิดชอบการสอนประจำเยอะอยู่แล้ว เขาก็เลยไม่ค่อยแฮปปี้กับการสอนเราซักเท่าไหร่ นี่คืออาจารย์บางท่านในสมัยนั้นนะ ตอนนั้นเราก็เลยรู้สึกน้อยใจมากเพราะอยู่ตรงกลางระหว่างสองคณะ และก็ไม่ค่อยมีใครใส่ใจดูแล รุ่นพี่ที่จะให้คำปรึกษาเราได้ก็ไม่มีเลย
ส่วนรายวิชาที่เป็นศาสตร์ทางด้านท่องเที่ยวโดยตรงก็ขึ้นกับอาจารย์ในคณะวิทยาการจัดการ ซึ่งก็ไม่มีใครจบทางด้านนี้ หรือมีประสบการณ์ทางการท่องเที่ยวเลย เพราะฉะนั้นเวลาสอนก็เหมือนมากางตำราสอน ก็เข้าใจว่ามันไม่มีอะไรจะมาเล่าให้ฟัง แต่พวกเรากลุ่มนึงก็รู้สึกว่าอย่างนี้ไม่ได้แล้ว เรียนแบบนี้ 4ปีมันจะได้อะไร ก็เลยมานั่งคุยกันว่าทำไงเราถึงจะมีความรู้เพิ่มขึ้น มีประสบการณ์การทำงานจริง เพราะเราพึ่งสถาบันไม่ได้เลย บุคคลกรสายตรงไม่มี ศูนย์ฝึกประสบการณ์วิชาชีพก็ไม่มี (โรงแรมพนมพิมานก่อสร้างประมาณปี 40) ยังโชคดีหน่อยตรงที่ท่านอธิการปราโมทย์มาช่วยสอนภาษาอังกฤษให้เรานอกเวลาเรียน ว่างๆ ก็มาพูดคุยรับฟังปัญหา เหมือนเป็นหัวหน้าสาขาของเราเลยนะ
อ.นรินทร์: หลักสูตรตอนนั้นมีการฝึกประสบการณ์วิชาชีพแล้วหรือยัง
อ.ราเมศร์:มีแล้ว แต่เรารู้สึกว่าจะรอฝึกงานตอนปี 4ตามหลักสูตรมันช้าเกินไป พวกเราสิบกว่าคนก็เลยขอออกฝึกงานเองตลอดทุกปี โดยให้ทางมหาวิทยาลัยออกหนังสือส่งตัวให้ แต่การติดต่อประสานงานเราทำเองหมด ปีแรกพวกเราไปกันที่ โรงแรมรีเจ้นท์ อุบลราชธานี มาตรฐานดีพอใช้ และก็โชคดีที่ตอนนั้นมีการฝึก Cobra Gold ที่ทหารอเมริกันมาร่วมฝึกกับทหารไทย เราก็เลยได้เจอคนเยอะ ได้ประสบการณ์มากมายหลายอย่าง ปีถัดมากเราก็ไปทำงานบริษัททัวร์ที่กรุงเทพ ชื่อ Union Star Tour ซึ่งเพื่อนที่พาไปเขารู้จักสนินสนมกัน ตอนนี้เขาก็ไปทำงานอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์แล้ว เราก็ได้ฝึกทำงานทุกอย่างได้ออกทัวร์จริงตลอด 3เดือน เหมือนเป็นพนักงานคนหนึ่งของบริษัทเลย พอปีสามเรารู้สึกว่าอยากอยู่ใกล้ๆ บ้างก็เลยฝึกงานรีสอร์ทในบุรีรัมย์นี่แหละ คือตอนนั้นเราคิดว่าระบบงานคงคล้ายๆ กันกับที่เราเห็นมา ซึ่งไม่ใช่เลย ปีสุดท้าย ตอนนั้นงานโรงแรม-บริษัททัวร์เราผ่านมาหมดแล้ว สิ่งที่เรายังไม่ได้ก็คืองานท่าอากาศยาน ก็พอดีกับท่าอากาศยานบุรีรัมย์เพิ่งเปิดที่สตึก พวกราก็เลยได้เข้าไปฝึกงานเป็นรุ่นแรก และก็ได้ช่วยงานอะไรหลายๆ อย่าง
การออกไปฝึกงานทั้งหมดของเรานี่คือไม่ได้สนใจคะแนนอะไรเลย แต่เราอยากได้ประสบการณ์ เพราะอาจารย์ให้กับเราไม่ได้ ผมยังนึกอิจฉานักศึกษาสมัยนี้ว่าโชคดีกว่าพวกผมมาก เพราะมีอาจารย์ที่จบตรงสายและมีประสบการณ์มากมายมาเล่าให้เราฟัง
อ.นรินทร์: เรียนจบแล้วอาจารย์ก็มาสอนเลยหรือเปล่า
อ.ราเมศร์:ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจมาจะมาเป็นอาจารย์เลยนะครับ คือเรียนจบผมก็ไปหางานทำที่กรุงเทพ กะว่าจะไปทำงานเป็นมัคคุเทศก์ แต่ระหว่างนั้นทางราชภัฏบุรีรัมย์เขาก็เปิดรับอาจารย์ 2 อัตรา ผมก็เข้ามาสอบด้วย ไม่ได้ตั้งความหวังอะไรเลย เพราะมีคนมาสอบเยอะมาก ทั้งจากเกษตรศาสตร์ ธรรมศาสตร์ บูรพา สิบกว่าคนได้ สอบเสร็จผมก็เข้ากรุงเทพ ก็ยังไม่ทันได้งาน คุณแม่ก็โทรมาตามว่ามีจดหมายมาจากมหาวิทยาลัยให้เข้ารับราชการวันที่ 11 สิงหาคม 2540
อ.นรินทร์: แสดงว่าอาจารย์เป็นบุคลากรตรงสายคนแรกของสาขาเราเลย แล้วอีกคนล่ะครับคือใคร
อ.ราเมศร์:ตอนนั้นที่สอบมีผมได้คนเดียว ผมก็ไม่ทราบเหตุผลเหมือนกัน ว่าทำไมคนอื่นไม่ได้ แต่ในปีถัดมาเราก็ได้อาจารย์เพิ่มอีกหนึ่งคน คืออาจารย์เชอรี่ ซึ่งจบการโรงแรมมาจาก ม.รังสิต ซึ่งก็อยู่กับเราได้พักนึง จนปี 43ผมลาไปศึกษาต่อระดับปริญญาโท ที่เชียงใหม่ อาจารย์เชอรี่ก็แยกไปเปิดสาขาการโรงแรม
นอกจากนั้นเราก็มีอาจารย์ก้อย ซึ่งได้ทุนไปเรียนต่อต่างประเทศ ก็มาทำงานกับเราได้พักนึงก็ย้ายกลับไปทำงานที่กรุงเทพ ส่วนอาจารย์อุ้มตอนนั้นยังเป็นนักศึกษาอยู่ ก็ได้ทุนไปเรียนต่อที่ ม.เชียงใหม่ เหมือนกันกับผม แต่หลังผมหนึ่งปี แล้วปี 45 ก็ได้กลับมาสอน
อ.นรินทร์: แล้วตอนนี้สาขาการโรงแรมหายไปไหน
อ.ราเมศร์:หลักสูตรการโรงแรมเป็นหลักสูตร 2ปี ก็เลยเจอปัญหาเดียวกับท่องเที่ยวในช่วงแรก คือนักศึกษาไม่รู้จะไปเรียนต่อที่ไหน จะให้เราเปิดหลักสูตรรองรับสองปีหลังให้เราก็ไม่ไหว เพราะบุคลากรเราก็มีน้อย ของเขาเองก็น้อยเหมือนกัน มันก็เลยไปต่อไม่ได้ ผมจำได้ว่ากลับมาปี 45ก็ไม่มีนักศึกษาการโรงแรมแล้ว รู้สึกจะเปิดได้แค่รุ่นเดียว
อ.นรินทร์: ตอนที่อาจารย์เรียนได้มีการเทียบเคียงหลักสูตรเพื่อให้ได้บัตรไกด์หรือยังครับ
อ.ราเมศร์:ไม่ได้ครับ นี่เป็นปัญหาอีกอย่างที่พอเรามาสอน ตอนปรับปรุงหลักสูตรผมกับอาจารย์ก้อยจึงพยายามให้สอดคล้องกับสถาบันวิชาชีพ เพราะเราเจอปัญหามาก่อนคือรุ่นพวกผม หลักสูตรไม่ได้เทียบเคียงกับมาตรฐานการอบรมมัคคุเทศก์ของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยไว้ พวกเราไม่มีใครได้บัตรไกด์กัน ซึ่งมันเป็นปัญหาใหญ่มากเพราะเราไปทำงานไม่ได้ เราก็เลยมาศึกษาและปรับปรุงหลักสูตร ซึ่งรู้สึกว่ารุ่นอาจารย์อุ้มนี่จะเป็นรุ่นแรกที่ได้เลย
อ.นรินทร์: เราอยู่ตึก 13 มาตั้งแต่ต้นเลยหรือเปล่าครับ
อ.ราเมศร์:ไม่ครับ แรกเริ่มเดิมทีเราอยู่ที่ตึก 2 จนผมไปศึกษาต่อนั่นแหละถึงมีการย้ายมาที่ตึก 13 กัน ผมกลับมาปี 45 ไม่มีห้องให้อยู่ อาจารย์อุ้มก็เหมือนกัน เราต้องไปอาศัยอยู่ห้องของสาขาอื่น ห้องที่เป็นห้องพักอาจารย์ท่องเที่ยวกับนิเทศปัจจุบันนี้เมื่อก่อนเป็นห้องใหญ่ใช้เป็นที่เก็บของของฝ่ายโสตฯ มีอุปกรณ์ เครื่องเสียงอยู่เต็มไปหมด ผมกับอาจารย์อุ้มก็มาปรึกษากันว่าเราน่าจะต้องมีห้องของเราเอง เพื่อให้นักศึกษาสามารถมาพูดคุยปรึกษางานกันได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเรียนหรือกิจกรรม ผมก็เลยไปคุยกับ ผอ.ฝ่ายโสตฯ ว่าผมขอใช้ห้องนี้ได้ไหม ซึ่งตอนนั้นเราวางโครงการไว้เลยว่าจะกั้นห้องเป็นสองส่วน ห้องนึงเป็นห้องพักอาจารย์ อีกห้องเป็นห้องฝึกประสบการณ์วิชาชีพ เป็นบริษัททัวร์จำลอง มีเคาน์เตอร์รับจองการเดินทาง คือเราอยากแสดงศักยภาพของเราให้สาขาอื่นได้เห็นว่าเราทำได้นะ ตอนแรกก็ไปคุยกับคณบดี หลายครั้งหลายคราแต่ก็ไม่คืบหน้า ก็เลยไปหา ผอ.ฝ่ายโสตฯ ด้วยตัวเอง นึกน้อยใจอยู่เหมือนกันนะว่าสาขาวิชาอื่นเขาได้โน่นได้นี่ แต่ทีเราขอแค่ห้องทำงานยังต้องประสานงานเองเลย แต่ก็ไม่เป็นไร พอไปคุย ผอ.เขาก็โอเค เราก็เลยได้ทำเรื่องขอปรับปรุงห้องเก็บของที่ว่านี่เป็นที่ทำการของเรา โดยผมเป็นคนเสนอ ผอ.ฝ่ายโสตฯ เห็นชอบ แล้วท่านอธิการสมัยนั้นคือท่านกำพล เซ็นต์อนุมัติ พร้อมสนับสนุนงบประมาณในการปรับปรุง ตกแต่ง ติดตั้ง ทั้งสองห้องนี้ด้วย เราก็ดีใจมากเลย แค่ได้ห้องก็ดีใจแล้ว นี่ได้งบประมาณในการกั้นห้อง ติดประตู ติดกระจก พร้อมเคาน์เตอร์ทัวร์เสร็จสรรพ โดยไม่ต้องพึ่งงบประมาณของคณะ ทีนี้พอทุกอย่างเสร็จสิ้น สาขานิเทศฯ เขาก็ยังไม่มีห้องพักเหมือนกัน อาจารย์เขาก็เลยมาขอแบ่งห้อง ซึ่งตอนนั้นคณบดีเขาเป็นคนเอ่ยออกมาเองเลยว่า แบ่งก็ดีนะ นิเทศฯ เขาจะได้มีห้องเหมือนกัน เรามันผู้น้อยก็พูดไม่ออกเลย คือก็เห็นใจพี่เขานะว่าไม่มีห้องอยู่ แต่กว่าเราจะได้มาก็เลือดตาแทบกระเด็น แล้วแผนงานที่เราวางไว้มันก็จะได้รับผลกระทบ ซึ่งท้ายที่สุดก็เป็นอย่างที่พวกเราเห็นทุกวันนี้ ความคิดที่อยากให้มีบริษัททัวร์จำลองก็ยังอยู่ แต่ก็ต้องรวมอยู่ในห้องเดียวกัน
อ.นรินทร์: อาจารย์ไปได้ความคิดเรื่องบริษัททัวร์จำลองนี่มาจากไหนครับ
อ.ราเมศร์:ผมไปศึกษาดูงานที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น ซึ่งเขามีบริษัททัวร์จำลองที่นักศึกษาได้ใช้ฝึกปฏิบัติการจริง มหาวิทยาลัยตั้งงบให้ 50,000 บาทเพื่อใช้ในการดำเนินงาน รายได้ก็เข้าระบบการเงินของมหาวิทยาลัย เวลานักศึกษาจะใช้จัดโครงการก็ทำเรื่องเบิกเงินออกมาใช้ ซึ่งผมดูแล้วว่าเราน่าจะทำได้ กลับมาก็เขียนโครงการเต็มรูปแบบเลยว่าโครงสร้างองค์กรเป็นยังไง มีใครเป็นคณะกรรมการบริหาร ในการออกใบเสร็จให้หน่วยงานไหนดูแล ฯลฯ ซึ่งมันก็น่าจะเป็นไปได้ แต่เอาเข้าจริงสิ่งที่คิดไว้ทั้งหมดมันหยุดชะงัก ไม่ได้รับการสนับสนุน เพราะอะไรก็ไม่รู้ แต่นี่คือในส่วนของมหาวิทยาลัย จะได้ไม่ได้ยังไงเราก็ต้องรอต่อไป แต่ในระหว่างนั้นเราก็มีการดำเนินการในเรื่องของการจัดตั้งบริษัทให้ถูกต้องตามกฎหมาย ก็มีการประกวดตั้งชื่อและตราสัญลักษณ์ก่อนที่จะเขียนโครงการส่งไปขอจัดตั้งกับสำนักทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์
อ.นรินทร์: มีนักศึกษาสนใจเข้าร่วมการประกวดเยอะไหม
อ.ราเมศร์:ก็หลายสิบเหมือนกันนะครับ คือเรามีรางวัลตั้งให้ด้วย ก็ไม่ได้มากกมายอะไร ใช้งบส่วนตัวของผมกับอาจารย์อุ้มนี่แหละ ที่หนึ่งได้ 1,000 แล้วรองลงมาก็ 500, 300 ชื่อที่ส่งประกวดก็มี ภูเขาทัวร์ เมืองแป๊ะทัวร์ ฝ้ายคำทัวร์ อะไรประมาณนี้ ซึ่งมันไม่มีชื่อที่โดนใจเราเลยน่ะ เราก็มานั่งคิดกันว่า เอ…เอาไงดี คิดกลับไปกลับมาก็เอาเป็นว่าไอ้ภูเขาไฟทัวร์นี่พอใช้ได้ แต่ให้มันอินเตอร์หน่อย ก็เลยได้มาเป็น Volcano Tour ตราสัญลักษณ์เราก็คิดกันเองเหมือนกัน แต่รางวัลเราก็แจกไปนะ แค่ไม่ได้นำชื่อกับตราที่ส่งประกวดมาใช้เท่านั้นเอง หนังจากนั้นก็ทำหนังสือส่งไปยังสำนักทะเบียนธุรกิจนำเที่ยวและมัคคุเทศก์ นครราชสีมา แล้วเขาก็มีหนังสือตอบกลับมาว่าตามมาตรานั้นนี้จึงเป็นที่เห็นชอบอนุมัติให้จัดตั้งได้ พอได้มานี่ 14 กุมภาพันธ์ 2546 ผมอย่างดีใจเลย
อ.นรินทร์: หลังจากนั้นได้จัดทัวร์ภายใต้ชื่อ Volcanoบ้างไหม
อ.ราเมศร์:ได้สิครับ เพราะเจตนาคือเราต้องการให้นักศึกษาได้ฝึก ได้ปฏิบัติจริง ซึ่งตอนนั้นเราก็ได้ไปประชาสัมพันธ์ให้หน่วยงานอย่างโรงเรียน หน่วยงานราชการ ประชาสัมพันธ์จังหวัด ได้รับทราบ แล้วเขาก็มาให้เราจัดทัวร์ให้ เพราะตอนนั้นน่ะบุรีรัมย์ยังไม่มีบริษัททัวร์ซักแห่งเลยนะ จะมีก็แต่บริษัทรถเช่า คือศรีประไพ ที่เขาทำมาตั้งนานแล้ว แต่ไม่ได้จัดทัวร์
อ.นรินทร์: แสดงว่า Volcano Tourนี่เป็นบริษัททัวร์แห่งแรกของบุรีรัมย์เลย ฟังดูมันน่าจะเติบโตได้ดีนะครับ
อ.ราเมศร์:ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น ถ้ามันเป็นไปตามโครงการที่เราวางไว้ แต่นี่เราไม่มีทุนหมุนเวียน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นเพราะผมไม่สามารถสื่อสารกับทางมหาวิทยาลัยให้เข้าใจได้หรือไง แต่เราไม่ได้รับการสนับสนุนเลย เอาง่ายๆ แค่ผมขอให้ทางมหาวิทยาลัยออกใบเสร็จให้เวลาออกทัวร์ ก็ยังไม่ได้รับการตอบรับเลย ทางคณะเองในสมัยนั้นก็ไม่ค่อยเห็นว่าโครงการของเรามันน่าสนใจซักเท่าไหร่ เราก็เลยไม่ได้ทำอะไรในเชิงรุก เป็นฝ่ายรอ พอนานๆ ไปมันก็เลยเงียบหายอย่างที่เป็นทุกวันนี้แหละครับ แต่ถ้าวันหนึ่งเราจะพลิกฟื้นมันขึ้นมาเราก็ทำได้เลยนะครับ เพราะจดทะเบียนถูกต้องตามกฏหมายทุกอย่างแล้ว
อ.นรินทร์: ในส่วนของโรงแรมพนมพิมานล่ะครับ ทำไมดูเหมือนเราไม่ค่อยมีส่วนเกี่ยวข้องซักเท่าไหร่ ทั้งๆ ที่ในความเป็นศูนย์ฝึกประสบการณ์ก็น่าจะเป็นที่ทำการของนักศึกษาเรา
อ.ราเมศร์:ขอเล่าความหลังก่อน เดิมทีอาคารนี้ไม่ได้มีการวางแผนว่าจะให้เป็นโรงแรมนะครับ ปี 40 ยังเป็นโครงโล่งๆ อยู่เลย พอปี 41 ท่านอธิการปราโมทย์ ก็เกิดความคิดว่าน่าจะทำเป็นโรงแรม ตอนนั้นมีแต่คนคัดค้านนะ ว่าจะสร้างไปทำไม ใช้งบประมาณตั้งหลายสิบล้าน (ตอนนี้มีแต่คนอยากให้ขยาย) แต่ท่านก็รวบรวมคนหนุ่มๆ สมัยนั้นมาช่วยกัน ทั้งสถาปัตย์ฯ ออกแบบฯ เทคโนอุตฯ ท่องเที่ยวฯ ฯลฯ ท่านให้เวลา 3 เดือนในการทำงาน เราก็มานั่งคุยกันทุกวัน จากเย็นถึงเช้าไม่ได้หลับได้นอนกันก็มี คือเราต้องมาคิดร่วมกันว่าคอนเซปต์ของโรงแรมจะเป็นอย่างไร จะให้อะไรอยู่ส่วนไหน ประตูหน้าเป็นยังไง การตกแต่งต้องประมาณไหน ที่ไหนเป็น Lobby, Front, ห้องอาหาร, ห้องประชุม ก็คุยกันไปจนมันออกมาได้อย่างที่เห็นทุกวันนี้แหละครับ
อ.นรินทร์: แล้วได้ทำตามที่คิดกันไว้มากน้อยแค่ไหน
อ.ราเมศร์:ก็ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ครับ พอออกแบบเสร็จ ตรงไหนต้องทุบ ต้องปรับ ก็ตูมเลย
อ.นรินทร์: อาจารย์เข้าไปมีส่วนร่วมตั้งแต่การออกแบบ แล้วทำไมเราไม่ได้สานงานต่อ
อ.ราเมศร์:ก็ได้ครับ แต่ก็เป็นไปตามระบบราชการ คือมีการแต่งตั้งคณะกรรมการบริหาร เป็นอาจารย์จากทั่วมหาวิทยาลัยเลยก็ว่าได้ ซึ่งผมก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย แต่ด้วยความที่สมัยนั้นเรื่องการท่องเที่ยวการโรงแรมเป็นเรื่องที่ยังไม่ค่อยมีคนเข้าใจ เราก็สื่อสารกับกรรมการท่านอื่นอย่างค่อนข้างจะลำบาก การพัฒนาต่างๆ ก็เลยเป็นอย่างค่อยเป็นค่อยไป แต่ใจจริงผมนะ ตอนนั้นผมอยากให้คณะวิทยาการจัดการเป็นคนดูแลเลย เพราะสาขาต่างๆ ของเราก็มีพร้อมอยู่แล้ว เช่น ด้านการเงินก็ให้สาขาบัญชีกับการเงินดูแล พนักงานก็ให้บริหารทรัพยากรมนุษย์รับผิดชอบ โฆษณาประชาสัมพันธ์ก็ให้การตลาดกับนิเทศ คอมฯ เศรษฐศาสตร์ การจัดการ คือเรามาช่วยกันบริหารงานได้ทั้งหมด ท่องเที่ยวเราก็ดูในภาพรวม นักศึกษาเราก็ให้ฝึกงานให้ทำงานจริงที่นั่นตลอด 4 ปีไปเลย ซึ่งมันน่าจะดี แต่ไม่มีคนมาช่วยเราไฟท์ สุดท้ายก็เลยเป็นได้แค่ในความคิดของพวกเรา นั่นคือส่วนของการบริหารจัดการ แต่ในส่วนของการเรียนการสอน บุคคลากรที่พนมพิมานเขาก็ให้ความร่วมมือกับเราด้วยดีมาโดยตลอด
อ.นรินทร์: ตอนที่อาจารย์เรียนเห็นว่ามีภาษาตั้ง 3-4 ภาษา มาตอนนี้มันหายไปไหนหมด
อ.ราเมศร์:ครับ ตอนแรกในหลักสูตรมีภาษาอังกฤษ จีน ญี่ปุ่น แล้วก็เขมร แต่ระยะหลังมามันมีปัญหาเรื่องบุคลากรครับ เดิมทีเรามีเจ้าของภาษามาสอนควบคู่กับอาจารย์ชาวไทย คือเป็นคนที่มาจากอังกฤษ จีน ญี่ปุ่นเลย เรียกว่าศักยภาพเต็มร้อย แต่ต่อมาบุคลากรจากต่างประเทศเริ่มหายไป ซึ่งผมก็ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะหมดสัญญาหรืออย่างไร แต่ที่แน่ๆ คือมันส่งผลกระทบกับระบบการเรียนของเรา มีอยู่ปีนึง ประมาณปี 47ในแผนเราก็ระบุว่านักศึกษาจะต้องเรียนภาษาญี่ปุ่น ภาษาจีน แต่ปรากฏว่าปีนั้นไม่มีบุคคลากรที่เป็นเจ้าของภาษาเลย นอกจากนั้นอาจารย์ที่เป็นคนไทยก็ลาไปศึกษาต่อปริญญาเอกอีก ก็คือไม่มีคนมาสอนนักศึกษา เราจะสอนเองก็ไม่ได้ นี่คือในกรณีภาษาญี่ปุ่น ภาษาอื่นก็เหมือนกัน คือบุคลากรมีน้อย แต่นักศึกษามีมาก อาจารย์เขาก็เหนื่อย บางทีบางเทอมการสอนก็เลยไม่เต็มที่อย่างที่ควรจะเป็น หรือบางครั้งเขาปฏิเสธเราดื้อๆ ก็มี ซึ่งเราก็พยายามเข้าใจ ถึงแม้จะน้อยใจบ้าง แต่ทางออกที่ดีที่สุดก็คือ ในเมื่อเราสอนเองก็ไม่ได้ หาบุคลากรมาประจำก็ไม่ได้ ก็ตัดสินใจตัดรายวิชาเหล่านั้นออกไปซะ จะได้หมดปัญหา แล้วก็บอกนักศึกษาว่าภาษาเป็นวิชาเลือกเสรี ซึ่งถ้าปีไหนมีบุคลากรพร้อมเราก็จะสนับสนุนให้เขาเรียน แต่ถ้าไม่ ก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงก็ไม่ได้เป็นส่วนสำคัญในมาตรฐานของสมาคมวิชาชีพอยู่แล้ว
อ.นรินทร์: สูทของสาขาเรานี่มีที่มาอย่างไรครับ
อ.ราเมศร์:ชุดสูทนี่เป็นความคิดของผมกับอาจารย์อุ้มที่มานั่งปรึกษากันว่าเราอยากให้นักศึกษาของเราดูดีเวลาออกงาน คือเมื่อก่อนเราจะมีงานเยอะมาก ทั้งในส่วนของการออกภาคสนาม และการทำงานในมหาวิทยาลัย เพราะเวลามีงานเลี้ยง งานรับรองต่างๆ เราก็นำเสนอไปก่อนเลยว่านักศึกษาเราทำได้ ยิ่งพอเขาเห็นว่ามีชุดสูทภูมิฐาน เขาก็ยิ่งมั่นใจ มันก็เลยทำให้เราได้ออกงานตลอด แต่ทีนี้พอสาขาอื่นเขาเห็น เขาก็เลยผลักดันเด็กของเขาบ้าง ตอนนี้งานในมหาวิทยาลัยของเราก็เลยน้อยลง ส่วนเสื้อกั๊กนี่เกิดขึ้นเพราะเราเห็นปัญหา ว่า เวลาทำงาน มันไม่ได้อยู่ในห้องแอร์ตลอดเวลา อย่างเสริฟกลางแจ้ง แดดร้อนเปรี้ยง ก็ใส่สูทไม่ไหวแล้ว ก็เลยกลายเป็นเสื้อกั๊กขึ้นมา
อ.นรินทร์: นักศึกษาจากสถาบันเล็กๆ ที่ดูจะมีข้อจำกัดมากมาย จะสามารถพัฒนาตัวเองให้แข่งขันกับสถาบันอื่นได้อย่างไร
อ.ราเมศร์:เราต้องมองตัวเองให้ออกว่ายังขาดอะไร ต้องพัฒนาส่วนไหน บางอย่างอาจารย์ให้กับเราไม่ได้ หรือสถาบันให้กับเราไม่ได้ เราก็ต้องแสวงหาด้วยตนเอง ซึ่งมันจะเป็นทั้งรายได้และประสบการณ์ อย่างตอนผมเรียนอยู่ปี 2ที่ไปทำงานบริษัททัวร์ที่กรุงเทพ ช่วงสามเดือนผมเก็บเงินกลับมาได้สองหมื่นกว่าบาท ซึ่งในขณะนั้นไม่ใช่น้อยเลย แต่เราก็ต้องแสดงศักยภาพให้เขาเห็นว่าเราทำได้ เราใส่ใจที่จะทำ เขาก็จะอยากฝึกเรา อยากใช้งานเรา จนนานๆ ไปก็เกิดเป็นความเชื่อมั่น และปล่อยให้เราทำงานด้วยตัวของตัวเองได้ ผมได้ทำทัวร์ที่เป็นชาวต่างชาติมากมายหลายครั้ง ซึ่งมันทำให้เรามีรายได้ดี เมื่อพี่เขาให้เรารับผิดชอบ ทิปมาเราก็รับคนเดียว เพราะฉะนั้นนักศึกษาต้องใส่ใจ ไม่ใช่รอให้ใครมาป้อน นักศึกษาต้องมีเป้าหมาย อาจารย์เป็นได้แค่เพียงผู้ชี้แนะเท่านั้นเอง
I am text block. Click edit button to change this text. Lorem ipsum dolor sit amet, consectetur adipiscing elit. Ut elit tellus, luctus nec ullamcorper mattis, pulvinar dapibus leo.